เจ้าบ่าวทหารเทงานแต่ง เจ้าสาวเป็นหนี้ค่าจัดงานเกือบ 3 แสน

สาวโรงงานเขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี เข้าร้องทุกข์ โดนเจ้าบ่าวซึ่งอ้างตัวเป็นทหาร ยศ จ.ส.อ. แถมเป็นบอดี้การ์ดนักการเมืองท้องถิ่น เทงานแต่ง เมื่อมาถึงเวลางานเจ้าบ่าวกลับไม่มา ติดต่อก็ไม่รับสาย จึงรู้ว่าถูกหลอกให้จัดงาน ทำให้เจ้าสาวเสียใจอย่างมาก ต้องทนยืนรับแขกคนเดียวด้วยความระทมทุกข์ ด้านเจ้าบ่าวยืนยันยังรักเจ้าสาว แต่หนีเพราะเงินไม่พอไปสู่ขอ ไม่กล้าสู้หน้าผู้ใหญ่ ขอนัดเคลียร์ 11 พ.ค.นี้ ที่ สภ.นาดี

 

 

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 ผู้สื่อข่าวปราจีนบุรี ได้รับแจ้งร้องทุกข์ จาก น.ส.น้ำทิพย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี เป็นสาวโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี ได้ร้องทุกข์ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นทหารชื่อ จ.ส.อ.เอก (จ่าเอก) สุวรรณหงส์ (สงวนนามสกุล) ได้ตกลงกับ น.ส.น้ำทิพย์ (ผู้เสียหาย) และบิดามารดาว่าจะมาจัดพิธีมงคลสมรสในวันที่ 1 พ.ค. 65 จึงตกลงกันพอถึงวันพิธีแต่งงานทางด้านเจ้าสาวได้จัดเตรียมงาน มีทั้งพิธีทางศาสนา โต๊ะจีน พร้อมเครื่องดื่มจำนวน 50 โต๊ะ สำหรับเลี้ยงแขก พอถึงเวลาแขกเริ่มเข้ามาภายในงาน ซึ่งเจ้าสาว และญาติได้ต้อนรับแขก พอถึงเวลาเข้าพิธีรอเจ้าบ่าว มาแต่เวลาผ่านไปไม่พบว่าเจ้าบ่าวจะมาเข้าพิธี ติดต่อไปก็ไม่รับสาย จึงรู้ว่าถูกหลอกให้จัดงานแต่ง แล้วตนจึงเสียใจอย่างมาก แต่ก็ต้องทนยืนรับแขกที่มาร่วมพิธีคนเดียวโดยไร้เงาเจ้าบ่าวจนเสร็จงาน ทั้งทุกข์ระทมใจเป็นอย่างมาก แม้งานจะจัดเสร็จไปโดยไร้เจ้าบ่าว แต่ที่สำคัญคือตอนนี้ตนและครอบครัวเป็นหนี้เกือบ 300,000 บาท เป็นเงินที่นำมาใช้จัดงานทั้งหมด และที่มาร้องผู้สื่อข่าวแม้เวลาจะล่วงเลยมา 2-3 วันแล้วก็ยังไร้เงาเจ้าบ่าวที่อ้างเป็นทหารมารับผิดชอบกับเรื่องนี้

 

 

หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 360 หมู่ที่ 6 บ้านสระจาน ตำบลนาดี อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งไปพบกับ น.ส.น้ำทิพย์ (สงวนนามสกุล) ยังคงอยู่ในอาการที่เหม่อลอย ทุกครั้งเมื่อกลับจากงานที่ทำมาอยู่บ้าน ซึ่งทางญาติเองก็ยังคงให้กำลังใจตลอด ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังพบว่าทางครอบครัวยังคงเก็บหลักฐานไว้โดยเฉพาะดอกไม้ ที่ประดับในพิธีรดน้ำสังข์ ป้ายชื่อ เจ้าบ่าว เจ้าสาว นอกจากนั้น ที่บริเวณลานที่จัดสำหรับโต๊ะจีน เพื่อรองรับแขกที่มาร่วมงาน ยังมีร่องรอย ให้เห็นว่ามีการจัดเลี้ยงแขกจริง หลังจากนั้นทาง น.ส.น้ำทิพย์ยังได้นำภาพถ่ายที่ตนเองต้องจัดงานพิธีสมรสโดยไม่มีเจ้าบ่าวมาให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมกับบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมๆ แล้วเกือบ 300,000 บาท ซึ่งตนและครอบครัวจะต้องหามาใช้หนี้

 

 

จากการสอบถาม น.ส.น้ำทิพย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนกับแฟนหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นจ่าสิบเอก ได้คบหาดูใจตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2564 โดยตลอดเวลาที่คบกัน เขาได้บอกว่าเขาเป็นทหารยศจ่าสิบเอก และยังอ้างว่าเป็นบอดี้การ์ดให้กับนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลนาดี ด้วยความบุคลิกการแต่งกาย และ การพูดจา จึงเชื่อแฟนหนุ่มว่าเป็นทหารจริง และเป็นบอดี้การ์ดของนักการเมืองท้องถิ่นจริง จึงไม่ได้สอบถามเพิ่มเติม ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ชายคนดังกล่าวนั้นเป็นคนที่นิสัยดีเสมอต้นเสมอปลายเข้ากับคนที่บ้านพ่อแม่พี่น้องได้ดี โดยจะคอยทำอาหารกับข้าวภายในบ้านและดูแลทุกอย่างแทบจะทุกวัน

 

 

โดยก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ทิ้งงานแต่งนั้น ฝ่ายชายได้มาพูดคุย บอกว่าอยากจะขอแต่งงาน แต่เนื่องจากตนเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งจึงบอกกับฝ่ายชายว่า ไม่ต้องจัดงานใหญ่ก็ได้ แต่ฝ่ายชายบอกว่า อยากได้งานใหญ่นิดนึง เพราะเป็นทหาร และยังเป็นบอดี้การ์ดของนักการเมืองท้องถิ่น และมีบุคคลที่รู้จักใหญ่โตอีกหลายคน จึงตามใจแฟนโดยไม่ได้ห้ามอะไร หลังจากนั้น แฟนก็ได้คุยกับพ่อแม่ โดยพ่อแม่ได้เรียกค่าสินสอดเป็นเงิน 200,000 บาท และทองคำหนัก 3 บาท เบื้องต้นทางแฟนรับปากว่าไหวและจะหาเงินมาทันในงานวันแต่งแน่นอน เดิมทีกำหนดงานไว้วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา แต่เกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิด-19 จึงไม่สามารถจัดงานได้ จึงได้เลยมาเป็นวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 โดยที่ฝ่ายชายเป็นคนดำเนินการเรื่องการจัดดอกไม้จัดซุ้มอาหารดนตรีเครื่องดื่มด้วยตนเอง

 

พอถึงงานวันแต่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เวลาประมาณ 02.00 น. ฝ่ายชายได้เก็บกระเป๋า แล้วบอกว่าจะไปนอนกับแม่ และญาติของตนซึ่งได้มาจองรีสอร์ตไว้ใกล้เคียงกับบ้านของต้น ส่วนตนนั้นต้องแต่งหน้าต่อจึง มอบเงินให้ฝ่ายชายจำนวน 20,000 บาท เพื่อนำเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ ในระหว่างงาน หลังจากนั้นตนก็แต่งตัวแต่งหน้าจนถึงเวลาประมาณ 06.00 น. กระทั่งหลานชายมาบอกว่าน้ำแข็งในงานมาลงแล้วจะต้องจ่ายเงินสดเขา จึงพยายามโทรหาแฟนว่าให้นำเงินมาจ่าย และมาแต่งหน้าแต่งตัวเพราะว่าอีกประมาณ 1 ชั่วโมง จะมีพิธีสงฆ์ ฝ่ายชายจึงรับปากว่ากำลังมา

 
 
 

 

และเวลาประมาณ 07.00 น. ต้องเข้าสู่พิธีสงฆ์ตนจึงได้โทรหาฝ่ายชายอีกรอบ แต่ได้คำตอบมาว่า ตอนนี้มีปากเสียงเรื่องเงินสินสอดกับแม่ตนอยู่ ขอเวลาประมาณ 07.00 น. เขาจะรีบเข้ามาให้ทันพิธี โดยหลังจากนั้นก็โทรติดต่อแฟนหนุ่มไม่ได้อีกเลย จึงคิดได้ทันทีว่าฝ่ายชายได้หนีการแต่งงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นรู้สึกช็อก และเสียใจมาก แต่เนื่องด้วยทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้วจึงแข็งใจออกมาทำพิธี โดยการตักบาตรเพียงคนเดียว ทำพิธีทางสงฆ์เพียงคนเดียว และต้อนรับแขก เพื่อให้งานผ่านพ้นไปด้วยดี และหลังจากเสร็จพิธีก็พยายามติดต่อไปยังแฟนของตน ก็ยังติดต่อไม่ได้จึงได้ปรึกษากับครอบครัวและนำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความบันทึกประจำวันแก่เจ้าหน้าที่ให้ตามหาฝ่ายชายให้มารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในงานทั้งหมดด้วย

  

เบื้องต้นแม้พิธีวิวาห์จะล่มไป การจัดงานสมรสแบบไม่มีเจ้าบ่าว จะผ่านมาได้ 3-4 วันแล้วก็ตาม ทาง น.ส.น้ำทิพย์ เจ้าสาวพยายามทำใจ ตั้งหน้าทำงานหลักเพื่อใช้หนี้ใช้สินเงินที่ยืมมาจัดงาน แต่ทุกคนในครอบครัวยังเป็นห่วง น.ส.น้ำทิพย์ ตลอดเวลากลัวว่าจะคิดไม่ดี นอกจากนี้ ยังฝากถึงเจ้าบ่าวที่อ้างตัวเป็นทหาร ให้ยืดอกออกมารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วย

 

 

เจ้าบ่าวหนีงานแต่ง กล่าวว่า เนื่องจากเงินตนไม่พอจนจึงไม่กล้าที่จะสู้หน้า จึงหนีมาตั้งหลักที่บ้านวังน้ำเขียว ก่อนที่จะประสานทางผู้ใหญ่ที่เป็นนายกอบต.เพื่อจะทำการเข้ามาเจรจาวันที่ 11 พ.ค. 65 นี้ โดยทางฝ่ายเจ้าสาวจึงได้สอบถามว่า ถามตรงๆ ว่ารักตนไหม ทางเจ้าบ่าวยังยืนยันว่ายังรักเจ้าสาวเสมอ และจะมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายและเคลียร์ใจทั้งหมดในวันที่ 11 พ.ค.นี้ เจ้าสาวจึงทิ้งท้ายไว้ว่า เดี๋ยววันที่ 11 พ.ค.นี้เจอกันที่ สภ.นาดี เพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายกันไป

 

ส่วนทางเจ้าสาวได้นำแชตที่พูดคุยเจรจาระหว่างจะมีพิธีสงฆ์โดยจับใจความได้ว่า ทั้งคู่ทะเลาะกับแม่เงินไม่พอให้ดำเนินการไปก่อนแล้วจะมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง

 

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่งที่เจ้าบ่าวอ้างว่าเคยทำงานให้ ก็ให้ข้อมูลกับทางโทรศัพท์ผู้สื่อข่าวว่า เบื้องต้นเจ้าบ่าวนั้นเคยทำงานกับตนจริง แต่ไม่ได้มาทำงานเป็นประจำจะมาทำเป็นครั้งคราว ถ้าไม่มีงานจะโทรมาของาน ตนจะให้ทำงานเป็นเกี่ยวกับบอดี้การ์ดคอยดูแลตน ในส่วนการแต่งงานนั้นเจ้าบ่าวเคยมาปรึกษาตน แต่ตนก็ให้ข้อมูลไปว่าผู้หญิงเคยแต่งงานมาแล้ว แค่ผูกข้อไม้ข้อมือก็พอ แต่ตนยังไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าบ่าวรายนี้ถึงไม่ฟังตน ไปจัดงานใหญ่โต แล้วสุดท้ายก็ได้เทงานไม่ยอมไปตามที่ตกลงไว้ โดยตนก็ยังไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น ส่วนที่เจ้าบ่าวอ้างว่าเคยเป็นทหาร ก็พูดกับตนเหมือนกันว่าเคยเป็นทหารแต่ถูกปลดประจำการ ไม่แน่ใจว่าปีอะไร แต่ยังใช้ยศจ่าสิบเอกนำหน้าชื่อเสมอมา.

 

 

 

 

 

ขอบคุณ มติชน/ไทยรัฐ