เตือนภัย! แก๊งเอเจนซี่เถื่อนอาละวาดหลอกหญิงสาวไปขายบริการที่เมียนมาร์

 เตือนภัย!! สาวไทยถูกหลอกไปทำงานพีอาร์ที่เมียนมา อ้างรายได้สูงถึงเดือนละ 5 แสน เดินทางผ่านช่องทางธรรมชาติ สุดท้ายถูกบังคับให้ขายตัว ถ้าไม่ทำตามจะถูกเรียกค่าไถ่

 

 

 

 

กรณีเพจ “Survive – สายไหมต้องรอด” โพสต์แจ้งเตือนภัยคนไทยถูกหลอกให้ไปทำงานที่ประเทศเมียนมา กลายเป็นกระแสไวรัลที่ชาวเน็ตหลายคนให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม

 

อาจเป็นรูปภาพของ 4 คน, ผู้คนกำลังยืน, ต้นไม้ และ กลางแจ้ง

 

ระบุว่า “#เตือนภัย! ตอนนี้มีกลุ่มเอเจนซี่ หลอกชักชวนน้องๆที่เคยทำงานเป็นพีอาร์ ให้ไปทำงานเป็นพีอาร์ที่ประเทศพม่าจำนวนมาก(มีคนพาข้ามช่องทางธรรมชาติที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย) บอกว่าจะมีรายได้เดือนละ 300,000 – 500,000 บาท ทำสัญญา 6 เดือน”

 

แต่พอไปถึงจะถูกบังคับให้ขายตัวทันที ใครไม่ทำต้องให้ทางบ้านหาเงินไปไถ่ตัว 250,000 บาท (ให้เวลา 3 วัน) ถ้าไม่มีเงินจะถูกบังคับขายตัว ทางเดียวที่จะรอดคือต้องหนีตายเข้าป่าเดินเท้าข้ามวันข้ามคืน หลายคนหลงป่าจนหายสาบสูญ ปล.เมืองที่ถูกส่งไปขายตัวเป็นเขตปกครองตนเองการช่วยเหลือเป็นไปได้ยากมากค่ะ #พี่เอกภพกำลังเร่งประสานช่วยเหลือทุกคนนะคะ”

 

 

นอกจากนี้ ยังมีคลิปวิดีโอแชร์กันในโลกโซเชียลที่หญิงสาวที่เป็นผู้เสียหาย 6 คน แอบบันทึกคลิปวิดีโอ เพื่ออธิบายเรื่องการถูกหลอกดังกล่าว โดยระบุว่า ตนและเพื่อน ๆ เป็นผู้เดือดร้อนอยู่ต่างแดน ขอความช่วยเหลือ เหตุโดนหลอกทำงานที่เมืองป๊อก รัฐฉาน ประเทศเมียนมา

 

 

“จุดเริ่มต้นก็คือ พวกหนูได้รับการบอร์ดงานจากกลุ่มโมเดลลิง ซึ่งมีโมเดลลิงทั้งหมด 3 คน โดนโมเดลลิงระบุว่าจะให้ทำงานงานเคทีวี เอนเตอร์เทน หมายถึงการชงเหล้าและดูแลลูกค้า ซึ่งมีรายได้ค่อนข้างเยอะ ทำให้ทางผู้เสียหายตัดสินใจที่จะไปทำงาน”

 

“ทางโมเดลลิงแจ้งให้เดินทางไปยัง อ.แม่สาย จ.เชียงราย จากนั้นข้ามไปยังฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และนั่งรถต่ออีกไม่เกิน 6 ชั่วโมงก็จะถึงจุดหมาย ด้วยความไว้ในใจโมเดลลิงประกอบกับมีเพื่อน ๆ เดินทางมาด้วย 6 คน ทำให้ทุกคนไม่ได้คำนึงถึงว่าจะโดนหลอก เพราะก่อนหน้านี้เคยติดต่อกับโมเดลลิงและเคยทำงานด้วยที่ประเทศไทยอยู่เป็นประจำ”

 

“เราเดินทางตั้งแต่ตอนเย็นวันที่ 28 พ.ค. จากกรุงเทพฯ โดยรถทัวร์ไปลงที่แม่สายในวันที่ 29 พ.ค. ตอนเช้า แต่เมื่อไปถึงโมเดลลิงแจ้งว่ายังไม่สามารถที่จะข้ามไปฝั่งท่าขี้เหล็กได้ เราเลยรอที่แม่สายกัน 1 วัน ต่อมาในวันที่ 30 พ.ค.ก็มีรถตู้มารับเพื่อเดินทางไปยังท่าขี้เหล็ก ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยสอบถามว่า ข้ามฝั่งไปผิดกฎหมายหรือไม่ ทางเอเจนซี่ก็จัดการต่าง ๆ ทำให้พวกเราสามารถเดินทางต่อไปได้”

 

“เมื่อข้ามไปถึงฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาได้แล้ว ก็จะมีการนั่งรถอีก 4 ต่อ พอครั้งที่ 5 ก็ได้อยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งพัก 3 – 4 วัน โดยมีคนดูแลอย่างดีตลอดมา คอยดูแลเรื่องอาหารการกินและที่พัก ในวันที่ 2 มิ.ย. ขณะอยู่เมืองเชียงตุงได้มีการเปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง ซึ่งไปส่งบริเวณทางเข้าป่า เดินต่อ 20 นาที จากนั้นข้ามแม่น้ำโดยแพร” ทางผู้เสียหายคาดว่าพอข้ามฝั่งก็จะถึงเมืองลาที่เป็นจุดมุ่งหมายในการไปทำงาน แต่ความจริงไม่ใช่อย่างที่คิด

 

“เมื่อข้ามฝั่งแล้วเป็นเวลา 6 โมงเย็น เราไม่สามารถใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตได้แล้ว ไม่ว่าใครจะเปิดโรมมิ่งมาจากประเทศไทยก็ตาม เราเริ่มอยู่ในป่า จากนั้นเราเดินเท้าไป 2 – 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็มีจักรยานยนต์พาทั้ง 6 คนพร้อมกระเป๋าตั้งแต่ช่วง 1 ทุ่มไปเกือบเช้า ข้ามทางที่เป็นเหวทั้งหมด” หลังจากนั้น มีรถมารับต่อไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งทางผู้เสียหายยังไม่เอะใจอะไร


 

“วันที่ 4 มิ.ย. ก็ถูกพาตัวไปอยู่ที่อาคารแห่งหนึ่ง มีลักษณะเป็นประตูกรงเหล็ก และหน้าต่างมีการติดกรงเหล็กเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนี ทางผู้ดูแลชาวเมียนมากล่าวว่า มีการซื้อตัวมาแล้ว จะต้องพาไปทำงาน ลักษณะของการให้บริการและขายบริการในพื้นที่พิเศษ”

 

“ซึ่งตอนนั้นทุกคนก็ตกใจ เพราะตอนที่รับบอร์ดงานจากโมเดลลิง เป็นเรื่องของการเอนเตอร์เทนและชงเหล้า แต่ไม่ได้มีการพูดถึงงานขายบริการจึงพยายามติดต่อกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ที่ประเทศไทย จากนั้นออกอุบายบอกกับชาวเมียนมาว่า พร้อมทำงานจึงได้ย้ายไปอยู่ที่ห้องอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้สามารถอัดคลิปมาขอความช่วยเหลือได้”

 

 

 

 

 

ขอบคุณ อมรินทร์ทีวี/ข่าวสด/ Survive – สายไหมต้องรอด