เรื่องราวประหลาด ชวนขนลุก เจอร่างไร้วิญญาณ แต่ยังมีคนเห็นและได้พูดคุย

เรื่องราวชวนขนลุก เมื่อชายอายุ 65 ปี หายออกจากบ้าน และมีการออกตามหา ในขณะที่เดินหาตามป่าได้ตะโกนเรียกชื่อ ลุงเจตน์ ลุงเจตน์ ก็ได้ยินเสียงขานรับดังออกมาซึ่งจำได้แม่น มั่นใจ 100% ว่าเป็นเสียงผู้สูญหาย แต่พอเข้าไปดูก็กลับไม่พบใคร นอกจากนี้ยังมีคนเก็บค่าน้ำ เห็นผู้ตาย และยังพูดคุยกันอยู่เลย 

 

 

 

วันที่ 6 ตุลาคม 2564 ความคืบหน้า จากกรณีเหตุการณ์ลึกลับ นายสมเจตน์ ขันตินนท์ อายุ 65 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 5 หมู่ 5 ตำบลซับเปิบ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้หายตัวไปอย่างปริศนา ไร้ร่องรอย หลังจากขายข้าวโพด ได้เงินแสน ทิ้งเพียงรองเท้าสีดำไว้ให้ดูต่างหน้า แม้ทีมค้นหา ทั้งญาติพี่น้อง ชาวบ้าน และ อาสากู้ภัย ต่างระดมกำลังออกค้นหา ทั้งทางบก และ ทางน้ำ รวมไปถึงบนเทือกเขาปู่ ซึ่งห่างจากบ้านผู้สูญหาย ราว 3 กม. ตามคำบอกกล่าวของร่างทรง ที่ให้ข้อมูลว่า ผู้สูญหายนั้น “ถูกสิ่งลี้ลับ หลอกไปเก็บเห็ด แล้วบังตาไว้ จนหาทางกลับบ้านไม่เจอ”

 

ต่อมา นางจำรูญ ขันตินนท์ อายุ 65 ปี ภรรยา และ นางสาวอลิสา ฉิมมี อายุ 38 ปี ลูกสาวของผู้สูญหาย เดินทางกลับมาถึงบ้าน ก็ได้มีการค้นหากันต่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา และหนึ่งในผู้ร่วมค้นหาก็ได้เผยเรื่องราวประหลาด ชวนขนลุก ขณะที่เดินหาตามป่าข้าวโพดข้างบ้าน เมื่อเดินไปถึงต้นมะม่วง 3 ต้น พอถึงต้นที่ 3 ก็ได้ตะโกนเรียกชื่อ ลุงเจตน์ ลุงเจตน์ ก็ได้ยินเสียงขานรับดังออกมาจากหลังห้องน้ำ ซึ่งจำได้แม่น มั่นใจ 100% ว่าเป็นเสียงผู้สูญหาย แต่พอเข้าไปดูกลับไม่พบ ทางญาติพี่น้องจึงได้จัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ ดอกไม้ธูปเทียน พร้อมนิมนต์พระ 3 รูป มาทำพิธีเปิดป่าตรงศาลพระภูมิบ้าน ตามความเชื่อ บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเปิดทางให้เจอผู้สูญหาย แต่ก็ยังไม่พบจนผ่านไป 2 วัน เข้าสู่วันที่ 3 ของการค้นหา

 

 

วันนี้ 6 ต.ค.64 ช่วงเวลาราว 10.30 น. ทีมค้นหาก็ได้พบร่างไร้วิญญาณของผู้สูญหาย ในสภาพกลายเป็นศพ ลอยคว่ำหน้าขึ้นอืด ไม่สวมเสื้อผ้า อยู่ภายในคลองเชิงชาย ห่างจากบ้านผู้ตายราว 400 เมตร ซึ่งคลองเส้นนี้ ไหลผ่านทั้งหน้าบ้านและข้างบ้านของผู้ตาย จากนั้น จนท.กู้ภัยได้ช่วยกันนำร่างผู้ตาย ขึ้นมาจากคลองเชิงชาย โดยมี ร.ต.อ.วินัย หารสระคู รอง สว.สอบสวน สภ.วังโป่ง และแพทย์เวรจากโรงพยาบาลวังโป่ง ร่วมทำการชันสูตรพลิกศพ เบื้องต้นไม่พบร่องรอยถูกทำร้าย และไม่พบร่องรอยการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ มีเพียงบาดแผลจากการถูกกิ่งไม้บาด เนื่องจากไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า โดยมีกางเกงในติดอยู่ที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่านั้น คาดว่าเสียชีวิตมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 5-7 วัน

 

ขณะเดียวกัน เงินสดจำนวนกว่าหนึ่งแสนบาทของผู้ตาย ที่ได้มาจากการขายข้าวโพด 2 รอบ จากการตรวจสอบของคนในครอบครัว พบเงินจำนวน 45,000 บาท ถูกเก็บไว้ในกระป๋องตั้งอยู่ในบ้าน และอีกส่วน พบว่าผู้ตายได้นำไปชำระหนี้ให้ ธ.ก.ส.เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา

 

 

บุตรสาวของผู้ตาย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้โทรหาพ่อ ทั้งวันเสาร์ วันอาทิตย์ แต่ติดต่อไม่ได้ คิดว่าพ่อปิดเครื่อง เนื่องจากกลัวฟ้า กลัวฝน ก็พยายามโทรตลอด จนแม่มาโทรหาพ่ออีกทีวันอังคาร ก็ยังติดต่อไม่ได้ เลยให้น้าข้างบ้านมาดูพ่อให้ พอเข้ามาที่บ้านก็เห็นว่าข้าวของในบ้าน เครื่องกรองน้ำพังลงมา แก้วแตก น้าข้างบ้านเลยรีบโทรกลับมาบอก และให้เพื่อนบ้านมาช่วยดู โดยส่วนตัวนั้นก็ได้ไปพึ่งร่างทรงให้ช่วยดูให้ ร่างทรงบอกว่าพ่ออยู่หลังบ้าน ถูกบังตาไม่ให้เห็น เจ้าที่เจ้าทางบังตา เหมือนว่าได้ข้าวโพดแล้ว ไม่เลี้ยงเจ้าที่ ไม่ให้ไก่ ไม่ให้เหล้า ซึ่งตนเองก็เตรียมทำพิธีแก้ให้แล้ว แต่วันนี้เป็นวันพระ ยังทำไม่ได้ ต้องรอพรุ่งนี้

 

ใครบอกอะไร แนะนำอะไร ก็ทำให้ทุกทางแล้ว อยากเจอพ่อ โดยพ่อนั้นมีอาการเป็นโรคซึมเศร้า แต่ก่อนเคยกินยา แต่ว่าหยุดกินยามา 3 ปีแล้ว แต่ก่อนนั้นตนก็ได้มาหาพ่อบ่อยๆ แต่พักหลังติดปัญหาสถานการณ์โควิด จึงไม่ค่อยได้มาหา ซึ่งพ่ออยู่ที่นี่ได้ทำไร่ข้าวโพดอยู่

 

ด้าน นายสุเทพ บัวครี่ อายุ 46 ปี ได้เปิดเผยเรื่องราวสุดลี้ลับว่า ขณะนั้นตนได้แยกกันเดินค้นหาในป่าข้าวโพด ตามแถวต้นมะม่วง ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 ต้น พอเดินไปถึงต้นที่ 3 ตนเองก็ตะโกนเรียกชื่อ ลุงเจตน์ ลุงเจตน์ แล้วก็มีเสียงขานรับ ดังออกมาจากห้องน้ำหลังบ้าน ซึ่งเสียงนี้ ตนจำได้แม่นยำว่าเป็นเสียงลุงเจตน์แน่นอน 100% เพราะจำได้แม่นและเป็นเสียงที่คุ้นเคย แต่พอเดินเข้าไปดู ก็กลับไม่พบใคร และพอถามคนที่ค้นหาด้วยกันอีกคน เขาก็ยืนยันเป็นเสียงลุงเจตน์แน่นอน สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากเพื่อนบ้านทราบข้อมูลตรงนี้ ก็ต่างรู้สึกประหลาดใจ และถึงกับขนหัวลุก ว่าหากเสียชีวิตแล้ว ไม่ต่ำกว่า 5-7 วันจริง แล้วทำไม ในวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ยังมีคนเก็บค่าน้ำ เห็นผู้ตาย และยังพูดคุยกันอยู่เลย

 

 

เมื่อสอบถาม นางไพรัตน์ วันพุทธ อายุ 46 ปี เล่าว่า เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2564 ตนเองเข้ามาเก็บค่าน้ำ ตรงหน้าบ้านผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ได้ออกมา นั่งอยู่ตรงประตู ยังได้พูดคุยกันอยู่เลยว่า เอาอะไรมาครอบให้หน่อย ทรายมันถมหมดแล้ว ผู้ตายยังตอบกลับมาว่า เออ ซึ่งแกก็นั่งอยู่บนโต๊ะหน้าบ้าน ช่วงเวลาเกือบเที่ยง แล้วตนก็ไปเก็บค่าน้ำหลังต่อไป พอมาวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ตนเองก็ยังได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง มาขอบอนสีข้างโอ่ง บ้านผู้ตาย เพราะสวยดี โดยขณะนั้น ผู้ตายยืนอยู่ข้างหลัง หันหลังอยู่ ผู้ตายก็ตอบกลับมาว่า ไม่มี ด้วยน้ำเสียงตะคอก แล้วแกก็เดินหนีไปเฉยๆ ไม่พูดไม่จา.

 

 

 

 

ขอบคุณ ไทยรัฐ