กุ้งพลอย กนิษฐรินทร์ ตอบเรื่องสถานะกับรุ่นน้อง พร้อมตอบประเด็ดดราม่ากับหนุ่ม ศรราม

 กุ้งพลอย ตอบชัดความสัมพันธ์ โบ๊ท ยงค์ยุทธ หลังมีกระแสอดีตภรรยาพระเอกดัง ซุ่มคบพระเอกหนุ่มรุ่นน้องหรือไม่ แถมตอบประเด็ดดราม่ากับอดีตสามี

 

 

 

กุ้งพลอย ถูกพระเอกหนุ่ม โบ๊ท ยงค์ยุทธ โผล่เซอร์ไพรส์ในงานฉลองครบรอบ 2 ปี TOPONE โดยฝ่ายชายหอบช่อดอกไม้ช่อโตมาให้ กุ้งพลอย กลางวงพี่ๆ สื่อมวลชนแทบทุกสำนัก พร้อมควงกันเผยสถานะที่แท้จริง และเล่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้มาเจอกัน 

กุ้งพลอย : จะบอกว่าเป็นน้องที่สนิทมากๆ และเราก็มีผู้จัดการคนเดียวกัน เราเจอกันบ่อยตามงานอีเวนต์ พอเจอบ่อยก็มีการทำคอนเทนต์ติ๊กต่อกด้วยกัน ยืนยันเป็นพี่น้องที่สนิทกันไม่ใช่แฟน 

 

โบ๊ท : เป็นพี่น้องครับ ถามว่ามีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ไหม ก็เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกัน

ไม่ติดมีแฟนเด็ก แต่เด็กจะติดไหม มีแฟนแก่?

กุ้งพลอย : หนูไม่ติดนะ แต่น้องเขามีแฟนแก่ติดหรือเปล่าต้องถามอย่างนี้

โบ๊ท : ผมไม่ได้เป็นคนที่โฟกัสเรื่องอายุ หรืออะไรอยู่แล้วครับ

 

 

คบกันเพื่อสร้างกระแส?

กุ้งพลอย : หนูเข้าใจว่ามุมมองของคนแต่ละคนแตกต่างกัน จะคิดว่าสร้างกระแสหรือว่าไม่สร้างกระแสไม่เป็นไร แต่เราก็ยังเป็นพี่น้องกันเพราะเจอกันบ่อยแล้ว เราก็ลงคลิปเต้นต่างๆ ก็ไม่เคยลบ มีอันหนึ่งที่แท็กไปให้น้อง ว่าอายุมันไม่สำคัญ มันคือคำคม วันหนึ่งถ้าน้องไปเจอใคร อายุมันเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ แค่เราคุยและเข้าใจกันก็พอแล้ว

โบ๊ท : ผมไม่ได้ซีเรียสกับข่าวนี้เลย เพราะว่าการที่เรารู้จักกันหรือสนิทกัน หรือปรึกษาอะไรกันจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดเลย

อายุห่าง 13 ปีไม่ใช่ปัญหา?

กุ้งพลอย : ไม่ติดเลย คือเราแก่แล้วห่างกับน้อง 13 ปี เพราะเขาไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แต่เป็นห่วงเรื่องอนาคตของอีกฝ่ายมากกว่า

 

 

นอกจากนี้กุ้งพลอย ก็ออกมาเปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า ต้นเหตุเป็นเพราะมือถือหายจริง ๆ พอไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เขาก็ถามว่าเบอร์อะไร เราก็บอกเขาไปว่าเบอร์หนึ่ง แต่ส่วนเบอร์ที่เหลือจำไม่ได้ เพราะไม่ได้ใช้แค่เบอร์เดียว เสร็จแล้วก็ไปทำบัตรประชาชนเพื่อจะขอซิม พอไปที่ช้อปเขาก็ถามว่าเอากี่เบอร์ เลยบอกว่าเอาทั้งหมดเลยที่มีอยู่ และไม่ได้คิดว่าเบอร์ที่เราซื้อมีหนึ่งเบอร์เป็นเบอร์ที่ให้พี่หนุ่มใช้ เพราะมัน 4-5 มาปีแล้ว


         

แต่พอกลับบ้านมาเอาซิมใส่มือถือ ก็มีน้องพี่หนุ่มโทร. เข้ามา บอกว่าเบอร์พี่หนุ่ม ตอนแรกก็งงว่าหนุ่มไหน พอได้คุยกันก็เข้าใจและขับรถเอาซิมไปให้ พอกลับมาคิดดูแล้ว เบอร์มันเป็นชื่อของเราแล้วเราไม่ได้ใช้ เราก็ควรจะเซฟตัวของเราเอง เพราะว่าวันนี้เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เราก็หาข้อมูลว่าจะมีวิธีการมอบโอนซิมยังไงบ้าง โดยที่เรากับเขาไม่ต้องเจอกัน จากนั้นเราก็ให้เอกสารกับน้องของพี่หนุ่มเพื่อให้ไปเปลี่ยนชื่อที่ร้าน

 

หนุ่ม ศรราม

         

และที่เราออกมาพูดก็ไม่ได้จะมาซัดกันไปซัดกันมา มันควรจะจบตรงนี้แล้ว เรื่องระหว่างครอบครัวมันน่าจะต้องจบแล้ว แต่ถ้าเราไม่มาอธิบายเราจะรู้สึกว่าเราเหมือนเป็นเชลยของสังคม ชื่อเสียงเรามันน้อย แล้วเรามีชนักติดหลัง ไม่ว่าเราจะทำอะไรผิดหรือถูก ถ้าเราเงียบหายไปโดยไม่อธิบาย เราจะกลายเป็นเชลยของสังคม


          

คือไม่มีใครอยากสร้างเรื่องให้คนมาเหยียบเรา แล้ว 2 ปีที่ผ่านมา เรารู้สึกเหมือนเป็นตราบาป เป็นเชลยของสังคม เพราะเรายังไม่ทำอะไรผิดเลย เราผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่จะเป็นคนดีเลยเหรอ เข้าใจว่าคนเราสามารถไม่ไว้ใจได้ มีสิทธิ์ที่จะคิด นั่นคือเรื่องของบุคคล แต่เราจำไม่ได้เลยว่ามีกี่เบอร์ ให้สาบานให้ตายห่xเลยก็ได้ ว่าไม่พูดโกหก

         

ส่วนเรื่องนี้จะทำให้เจอลูกได้ยากขึ้นไหม ส่วนตัวไม่ได้คิดแบบนั้น คนเราจะดูว่าดีหรือชั่วอยากให้ดูจากเจตนา ถ้าสมมติเปิดเบอร์อย่างตั้งใจหรือจงใจ ทำไมไม่เอาเบอร์นี้ใช้หลาย ๆ วัน หลาย ๆ ชั่วโมง ซึ่งเรื่องนี้มันเกิดขึ้นแค่ 2 ชั่วโมง และรีบแก้ไข เรื่องการเจอลูกมันยากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาเกิดดราม่าที่จะเลือกที่จะเงียบ ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น กลัวที่จะมีอะไรเกิดขึ้น บางทีก็ก้มหน้ายอมรับเพราะกลัวที่จะไม่ได้เจอลูก แค่ว่าผ่านมา 2 ปีแล้ว รู้สึกว่าบางเรื่องต้องพูดบ้าง ที่พูดไม่ได้ทำร้ายใคร แค่อธิบายเราต้องปกป้องตัวเอง

 

 

 

 

ขอบคุณ ไทยรัฐ/kapook/TrueVisionsOfficial